Y Combinator: เปิด Startup School เรียนฟรี!! ตำนานแห่ง Startup Accelerator ที่ปั้นยูนิคอร์นระดับโลก

ใครกำลังสนใจเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพและอยากเรียนรู้จากผู้ที่เคยประสบความสำเร็จจริง Y Combinator (YC) คือหนึ่งในองค์กรที่คุณไม่ควรมองข้าม

Y Combinator ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 โดย Paul Graham, Jessica Livingston, Robert Morris และ Trevor Blackwell มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ได้รับโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการลงทุน การให้คำปรึกษา และเครือข่ายเชื่อมโยงที่ทรงพลัง ปัจจุบัน YC ถือเป็น Startup Accelerator อันดับต้นๆ ของโลก ที่เคยลงทุนและบ่มเพาะสตาร์ทอัพชื่อดังมากมาย เช่น stripe, Airbnb, twich, coinbase, Dropbox เป็นต้น

เรื่องราวของ YC เริ่มต้นในปี 2005 โดย Paul Graham และทีมงานที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการยุคใหม่ พวกเขาเชื่อว่าสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพไม่จำเป็นต้องมีคอนเนคชันหรือเงินลงทุนจำนวนมากตั้งแต่แรก ขอแค่มีไอเดียที่ดีและทีมที่แข็งแกร่งก็พอ โดยโปรแกรมแรกของ YC เกิดขึ้นในเมืองบอสตัน โดยมีสตาร์ทอัพรุ่นบุกเบิกเพียงไม่กี่ทีมเข้าร่วม

แต่จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ ปัจจุบัน YC ได้กลายเป็นมาตรฐานทองคำของวงการสตาร์ทอัพ มีบริษัทมากกว่า 4,000 บริษัท ที่เคยผ่าน YC และมีมูลค่ารวมกันกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ หนึ่งในเรื่องเล่าที่น่าสนใจคือ Airbnb ซึ่งเริ่มต้นจากไอเดียง่ายๆ ของผู้ก่อตั้ง Brian Chesky และ Joe Gebbia ที่อยากให้คนเช่าห้องพักระยะสั้นแบบเป็นกันเอง พวกเขาไม่มีเงินทุนมากนักจนถึงขั้นต้องขายกล่องซีเรียลที่พิมพ์โลโก้ Obama และ McCain เพื่อหาเงินค่าเช่าบ้าน แต่เมื่อได้เข้าร่วม YC พวกเขาได้รับคำแนะนำในการปรับธุรกิจ จนกลายเป็นแพลตฟอร์มที่ปฏิวัติวงการท่องเที่ยวในปัจจุบัน

เช่นเดียวกับ Dropbox ที่เริ่มต้นจากวิศวกรหนุ่ม Drew Houston ซึ่งแค่พยายามแก้ปัญหาส่วนตัวเกี่ยวกับการพกพาไฟล์งาน หลังจากนำเสนอไอเดียนี้กับ YC และได้รับการสนับสนุน ธุรกิจของเขาก็เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในด้าน Cloud Storage

เมื่อสตาร์ทอัพได้รับเลือกเข้าร่วม YC พวกเขาจะได้รับเงินลงทุนเบื้องต้น (ปัจจุบันอยู่ที่ $500,000 หรือกว่า 18 ล้านบาท ต่อบริษัท) และได้เข้าร่วมโปรแกรมบ่มเพาะเป็นเวลา 3 เดือน ในเมืองซานฟรานซิสโก แต่สิ่งที่มีค่ากว่าคือ คำแนะนำจากนักลงทุนระดับโลกและผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพที่เคยผ่านสนามจริง

หนึ่งในคำสอนที่โด่งดังของ YC คือ “Make something people want” (สร้างสิ่งที่คนต้องการ) ซึ่งกลายเป็นหลักคิดพื้นฐานของสตาร์ทอัพยุคใหม่ หากผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริงให้ลูกค้า ต่อให้มีเทคโนโลยีล้ำสมัยแค่ไหนก็ไม่มีวันไปรอด

YC ยังเป็นที่รู้จักจาก Demo Day อีเวนต์ที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่ผ่านโปรแกรมได้นำเสนอธุรกิจของตนเองต่อหน้านักลงทุนระดับโลก เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สตาร์ทอัพหลายรายได้รับเงินทุนก้อนโต และกลายเป็นยูนิคอร์นในเวลาไม่นาน

จาก YC สู่ Startup School: โอกาสสำหรับทุกคน

แม้ว่า YC จะเป็นโปรแกรมที่ยอดเยี่ยม แต่การเข้าร่วมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในแต่ละปีมีผู้สมัครเป็นแสนทีม แต่มีเพียงไม่กี่ร้อยทีมเท่านั้นที่ได้รับเลือกเข้าโปรแกรม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ YC เปิดตัว Startup School (SUS) เพื่อให้โอกาสแก่ผู้ประกอบการทั่วโลกในการเรียนรู้แนวคิดแบบ YC โดยไม่ต้องเข้าร่วมโปรแกรม Accelerator

ทำความรู้จัก Startup School (SUS): สร้างธุรกิจของคุณด้วยคำแนะนำจาก YC

👉 เป็นคอร์สออนไลน์ ฟรี สำหรับผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพทุกระดับ

👉 มีเนื้อหาจากผู้ก่อตั้ง YC และผู้บริหารสตาร์ทอัพชื่อดัง

👉 ช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งตั้งแต่ 0 ถึง 1

👉 มีเครือข่ายของผู้ก่อตั้งจากทั่วโลกให้คุณได้แลกเปลี่ยนความรู้

สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้แนวทางการสร้างสตาร์ทอัพแบบ YC โดยไม่ต้องเข้าร่วมโปรแกรม Accelerator โดยตรง Startup School (SUS) เป็นหลักสูตรออนไลน์ฟรีจาก Y Combinator ที่เปิดให้ผู้ก่อตั้งธุรกิจจากทั่วโลกได้เรียนรู้ ซึ่งเนื้อหาจะมาจากประสบการณ์ตรงของผู้ที่เคยผ่าน Y Combinator และนักลงทุน VC ชั้นนำ ซึ่งจะช่วยให้คุณมีความเข้าใจแนวทางการสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่ไอเดียเริ่มต้นจนถึงการเติบโตทีละขั้นตอน

วิธีสมัครก็ไม่ยากเลยเพียงแค่เข้าไปที่ www.startupschool.org เลือก Sing in สมัครแล้วกรอกข้อมูลให้เรียบร้อย

            เมื่อสมัครแล้วก็เริ่มการเรียนได้เลย โดยกดเข้าไปที่ Course Overview โดยจะมีทั้งหมด 8 Module ด้วยกันประกอบไปด้วย

  • Module 1: Deciding to start a startup
  • Module 2: Getting and evaluating startup ideas
  • Module 3: Building your founding team
  • Module 4: Planning an MVP
  • Module 5: Launching
  • Module 6: Growing and monetizing
  • Module 7: Fundraising and company building
  • Module 8: Stories from great founders

            ฟีเจอร์ถัดไปคือ Weekly Update ที่จะช่วยให้เราตั้ง KPI และเป้าหมาย พร้อมอัพเดทสถานะการ์ณเป็นระยะๆ เพื่อให้เข้าไปสู่จุดสำเร็จของธุรกิจได้ในที่สุด คำถามก็จะง่ายๆ เช่น

  • อาทิตย์ที่ผ่านมาเราได้คุยกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายไปแล้วกี่คน
  • อะไรที่เราได้เรียนรู้จากการพูดคุยนั้นๆ
  • พลังใจของคุณตอนนี้เต็ม 10 ได้กี่คะแนน
  • อาทิตย์ที่แล้วอะไรทำให้ Primary Metric ดีขึ้น (Primary Metric หรือ Primary KPI เป็นสิ่งที่ทำแล้วส่งผลตรงต่อรายได้ของบริษัท)
  • อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่เจอ
  • เป้าหมายที่คุณจะทำ 1-3 อย่างในอาทิตย์หน้า

ทั้งนี้ทาง SUS ก็มี Primary Metric ให้เราได้เลือกใช้ด้วย โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ Revenue และ Engagement

Recurring revenue

  • Annual Recurring Revenue
  • Monthly Recurring Revenue

Revenue

  • Software Sales
  • Hardware Sales
  • Preorder Sales
  • Letters of Intent
  • Paid Trials
  • Paid Contracts
  • Ecommerce Sales
  • Marketplace Transaction Volume
  • Transaction Volume (other)
  • Assets Under Management

Engagement

  • Active users in the last day (DAU)
  • Active users in the last week (WAU)
  • Active users in the last month (MAU)

สำหรับใครที่กำลังมองหาเพื่อนร่วมหัวจมท้ายก็ต้องฟีเจอร์นี้เลย Co-Founder Matching ตัวนี้แหละที่จะให้คุณได้สร้าง Profile แล้วจับคู่คุยกันซะเลย แต่ก่อนจะเปิดฟีเจอร์นี้อย่างน้อยก็ต้องไปเรียนให้ถึง Module 4 ซะก่อนนะ

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด อย่าลืม

Make something people want”

PS. Thanks to The Secret Source OmniVirt สตาร์ทอัพไทยแห่งแรกที่ขายให้บิ๊กเทค | Silicon Valley EP.2 https://youtu.be/6kNGnQNa0TY?si=xRkdk7CMrfmiC1py ที่ทำให้ผู้เขียนได้รู้จัก Y Combinator

สัมผัสประสบการณ์ PROEN Cloud ได้แล้วที่นี่

📞 โทร: 02690 3888

📧 อีเมล: sales@proen.co.th

Recent Post

การจัดการความเสี่ยงคือสกิลที่ Developer ต้องมีติดตัว

ในโลกที่ระบบซอฟต์แวร์กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของทุกองค์กร ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในโค้ดหนึ่งบรรทัด อาจทำให้ระบบล่ม ธุรกิจหยุดชะงัก หรือข้อมูลสำคัญสูญหายได้ การจัดการความเสี่ยงจึงไม่ใช่แค่เรื่องของทีม IT Security หรือ SysAdmin แต่เป็นหน้าที่ของ Developer ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับระบบนั้น ๆ

Read More »

Automation ระบบที่คิดเพื่ออนาคต ลงทุนเวลาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากกว่าในระยะยาว

ในสายตาคนนอกวงการ การที่ Developer หรือวิศวกรซอฟต์แวร์เขียน Script ให้งานให้สามารถทำงานได้อัตโนมัติ อาจดูเหมือนเป็นการ “หลีกเลี่ยง” งาน แต่ในโลกจริงของวงการพัฒนาเทคโนโลยี Automation มันคือการลงทุนทางเวลา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากกว่าเดิมในระยะยาว

Read More »

เป็น Dev ก็ Work from Anywhere ได้แม้ไม่มีคอม…รวมแอปเขียนโค้ดบนมือถือกับฟังก์ชั่นตัวเด็ด!

ในโลกที่ชีวิตของ Developer ไม่จำกัดอยู่แค่หลังโต๊ะทำงาน การเดินทาง นั่งคาเฟ่ หรือช่วงเวลาระหว่างรอรถ ก็สามารถกลายเป็น “เวลาแห่งการสร้างสรรค์” ได้ — เพราะตอนนี้มี แอปเขียนโค้ดบนมือถือ ให้เลือกใช้มากมายที่ช่วยให้ Dev ทำงานได้แม้ไม่มีโน้ตบุ๊กอยู่ใกล้ตัว

Read More »

AI อย่างเดียวคงไม่พอ…ต้องมี Platform ที่ใช่ เพื่อให้ Dev ทำงานง่ายยิ่งกว่าเดิม

ในยุคที่ AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป Developer หลายคนเริ่มหันมาใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ด ตรวจสอบข้อผิดพลาด หรือแม้แต่สร้างโปรแกรมอัตโนมัติขั้นสูง แต่เบื้องหลังการใช้งาน AI ที่ได้ผลจริง สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ยืดหยุ่น ปลอดภัย และสามารถประมวลผลได้รวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ PROEN Cloud พร้อมจะมอบให้กับ Dev ทุกคนที่ต้องการก้าวไปอีกขั้น

Read More »