จัดการภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วย 5 ฟังก์ชันหลักของ NIST Cybersecurity Framework (NIST CSF) 

NIST Cybersecurity Framework (CSF) มีโครงสร้างหลักที่แบ่งออกเป็น 5 ฟังก์ชันหลัก (Core Functions) ซึ่งครอบคลุมทุกด้านของการจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ดังนี้

📌 วัตถุประสงค์: 
ทำความเข้าใจทรัพย์สิน (Assets), ข้อมูล, ระบบ และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ 

📌 แนวทางสำคัญ: 

  • Asset Management (การบริหารจัดการทรัพย์สิน) 
  • Business Environment (สภาพแวดล้อมของธุรกิจ) 
  • Governance (การกำกับดูแล) 
  • Risk Assessment (การประเมินความเสี่ยง) 
  • Risk Management Strategy (กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง) 

📌 วัตถุประสงค์: 
พัฒนาและใช้มาตรการเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ และลดผลกระทบจากภัยคุกคาม 

📌 แนวทางสำคัญ: 

  • Identity Management & Access Control (การบริหารจัดการตัวตนและการควบคุมการเข้าถึง) 
  • Awareness & Training (การสร้างความตระหนักและการฝึกอบรม) 
  • Data Security (ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล) 
  • Information Protection Processes (กระบวนการป้องกันข้อมูล) 
  • Maintenance (การบำรุงรักษาระบบ) 

📌 วัตถุประสงค์: 
พัฒนาและใช้ระบบที่สามารถตรวจจับภัยคุกคามทางไซเบอร์และพฤติกรรมที่ผิดปกติได้อย่างทันท่วงที 

📌 แนวทางสำคัญ: 

  • Anomalies & Events (การตรวจจับความผิดปกติและเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย) 
  • Security Continuous Monitoring (การตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง) 
  • Detection Processes (กระบวนการตรวจจับภัยคุกคาม) 

📌 วัตถุประสงค์: 
พัฒนาและใช้กระบวนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยเพื่อจำกัดความเสียหายและป้องกันการโจมตีในอนาคต 

📌 แนวทางสำคัญ: 

  • Response Planning (การวางแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์) 
  • Communications (การสื่อสารในกรณีเกิดเหตุ) 
  • Analysis (การวิเคราะห์เหตุการณ์) 
  • Mitigation (การลดผลกระทบจากภัยคุกคาม) 
  • Improvements (การปรับปรุงกระบวนการตอบสนอง) 

📌 วัตถุประสงค์: 
สร้างแผนฟื้นฟูและลดผลกระทบหลังจากเกิดเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย 

📌 แนวทางสำคัญ: 

  • Recovery Planning (การวางแผนกู้คืนระบบ) 
  • Improvements (การปรับปรุงแนวทางการกู้คืน) 
  • Communications (การสื่อสารระหว่างบุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้อง) 

NIST Cybersecurity Framework มี 5 ฟังก์ชันหลัก ที่ครอบคลุมการบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ตั้งแต่ ระบุความเสี่ยง (Identify), ป้องกัน (Protect), ตรวจจับ (Detect), ตอบสนอง (Respond), และกู้คืน (Recover) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันและจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ✅ 

Recent Post

การจัดการความเสี่ยงคือสกิลที่ Developer ต้องมีติดตัว

ในโลกที่ระบบซอฟต์แวร์กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของทุกองค์กร ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในโค้ดหนึ่งบรรทัด อาจทำให้ระบบล่ม ธุรกิจหยุดชะงัก หรือข้อมูลสำคัญสูญหายได้ การจัดการความเสี่ยงจึงไม่ใช่แค่เรื่องของทีม IT Security หรือ SysAdmin แต่เป็นหน้าที่ของ Developer ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับระบบนั้น ๆ

Read More »

Automation ระบบที่คิดเพื่ออนาคต ลงทุนเวลาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากกว่าในระยะยาว

ในสายตาคนนอกวงการ การที่ Developer หรือวิศวกรซอฟต์แวร์เขียน Script ให้งานให้สามารถทำงานได้อัตโนมัติ อาจดูเหมือนเป็นการ “หลีกเลี่ยง” งาน แต่ในโลกจริงของวงการพัฒนาเทคโนโลยี Automation มันคือการลงทุนทางเวลา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มากกว่าเดิมในระยะยาว

Read More »

เป็น Dev ก็ Work from Anywhere ได้แม้ไม่มีคอม…รวมแอปเขียนโค้ดบนมือถือกับฟังก์ชั่นตัวเด็ด!

ในโลกที่ชีวิตของ Developer ไม่จำกัดอยู่แค่หลังโต๊ะทำงาน การเดินทาง นั่งคาเฟ่ หรือช่วงเวลาระหว่างรอรถ ก็สามารถกลายเป็น “เวลาแห่งการสร้างสรรค์” ได้ — เพราะตอนนี้มี แอปเขียนโค้ดบนมือถือ ให้เลือกใช้มากมายที่ช่วยให้ Dev ทำงานได้แม้ไม่มีโน้ตบุ๊กอยู่ใกล้ตัว

Read More »

AI อย่างเดียวคงไม่พอ…ต้องมี Platform ที่ใช่ เพื่อให้ Dev ทำงานง่ายยิ่งกว่าเดิม

ในยุคที่ AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป Developer หลายคนเริ่มหันมาใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ด ตรวจสอบข้อผิดพลาด หรือแม้แต่สร้างโปรแกรมอัตโนมัติขั้นสูง แต่เบื้องหลังการใช้งาน AI ที่ได้ผลจริง สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ยืดหยุ่น ปลอดภัย และสามารถประมวลผลได้รวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ PROEN Cloud พร้อมจะมอบให้กับ Dev ทุกคนที่ต้องการก้าวไปอีกขั้น

Read More »